วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Mona Lisa


โมนาลิซา (อังกฤษMona Lisa)หรือ ลาโจกอนดา (อิตาลีLa Gioconda) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศสLa Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่มีชื่อเสียงทั่วโลกภาพหนึ่ง เป็นที่รู้จักในฐานะภาพของสุภาพสตรีที่มีรอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ที่มาของชื่อ

คำว่า "โมนาลิซา" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดยจอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจไหมผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)
คำว่า โมนา" (Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา (madonna) คุณผู้หญิง (my lady) หรือ มาดาม (Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา (Monna Lisa)

ประวัติ

าพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด
ในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ
ในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 67 ปี
ตอนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย
และต่อมาภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2413 - 2414 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟลอเรนซ์ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันเป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนา ลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด

ทฤษฎีสมทบ

กล่าวกันว่าภาพวาดนี้ ดา วินซี ตั้งใจจะวาดภาพของตนเองเพื่อเป็นหญิง และภาพวาดชิ้นนี้เมื่อส่องกับกระจกเงา จะพบว่ามุมการมองภาพรู้สึกเป็นธรรมชาติไม่แตกต่างจากการมองแบบปกติ เหมือนที่ ดา วินชี กล่าวไว้ว่า "ภาพเขียนที่จิตรกรจะคิดว่าสวยงามในทุก ๆ ด้านและทุก ๆ มุมมอง ต้องพิจารณาภาพภาพในกระจกเงา" และจากการฉายรังสีที่ภาพวาด ทำให้พบว่าภาพเขียนนี้ถูกซ่อนเจตนาที่แท้จริงหลายอย่าง และยังเคยถูกเขียนทับอีกด้วย


                        ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥










Culture of France

♥ วัฒนธรรม ในประเทศฝรั่งเศสและสิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ ♥


Sleep in office

ชาวฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการนอนกลางวัน จึงส่งผลให้ประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศสชอบนอนกลางวันตามไปด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนลึกของวัฒนธรรม คล้ายคลึงกับของอังกฤษและอิตาลีอยู่แล้ว ไม่สามารถแบ่งได้ชัดเจนเด่นชัด เช่น การจับมือ ภาษา เป็นต้น สิ่งที่ควรทำ - ไม่ควรทำ 1.คุณสามารถกล่าวทักทายว่าบงชู (Bonjour) ซึ่งหมายถึงสวัสดีตอนเช้า หรือบงซัว (Bonsoir) ที่หมายถึงสวัสดีตอนเย็น กล่าวลาเมื่อจะจากไปด้วยคำว่า โอ"เครอ"วัว (Au revoir)  ที่แปลว่า ลาก่อน และกล่าวขอบคุณว่า แม็กซิ (Merci) ได้


Bonjour in France

2. วิธีทักทายสำหรับคนที่รู้จักกันนั้นคือการแลกจูบแก้มซึ่งกันและกัน ไม่ว่าคู่ทักทายของคุณจะเป็นหญิงหรือชาย ตามงานพิธีต่างๆ ชาวฝรั่งเศสใช้วิธีชนแก้มกันทั้งสองข้าง (la bise) ว่ากันว่าชาวปารีสนิยมแนบแก้มกันถึง 4 ครั้ง ถ้าเป็นเมืองนอกเขตปารีสทำเพียง 2 ครั้ง


Bise bise

3. เมื่อไปรับประทานอาหารตามภัตราคารอย่าตะโกนเรียกบริกรว่า"การ์ซ็อง (garçon)" ที่ตรงกันกับภาษาอังกฤษว่า boy ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสถือว่าไม่ สุภาพ ควรเรียกว่าเมอซิเออร์ และกล่าวคำว่า ซิล วู เปล ซึ่งแปลว่ากรุณา เวลาสั่งอาหารหรือขออะไรเพิ่มเติมจึงถือว่าสุภาพและควรถอดหมวก เสื้อคลุม โอเวอร์โค๊ดหรือแจ้กเก็ต เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ก่อนทุกครั้ง


Boy = Garcon

4. สนามหญ้าในฝรั่งเศสมีไว้ให้ดูและชื่นชมความเขียวชอุ่ม ห้ามแตะต้องเด็ดขาด ยกเว้นตามสนามหญ้าที่เปิดเป็นสาธารณะ หากคุณละเมิดกฏเข้าไปในสนามหญ้าซึ่งมีป้าย pelouse interdite แปลว่า สนามหญ้าห้ามเข้า กำกับอยู่ ถือว่าคุณทำผิดกฏหมาย


pelouse interdite - garden permitt

5. เมื่อชาวฝรั่งเศสต้องการโบกมือลาเขาจะยกมือพร้อมกับขยับนิ้วขึ้นลง ๆ


Say Good bye

6. รถแท็กซี่ในฝรั่งเศสนั่งได้ 3 คน เฉพาะที่ตรงด้านหลังคนขับเท่านั้นที่นั่งด้านขวามือข้างหน้าคู่กับคนขับ นั้น มักไว้ให้เป็นที่นั่งของสัตว์เลี้ยง



                                  ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥

Music of France


DJANY - Jeux d'enfants [CLIP OFFICIEL]





Djany - Jeux D'enfants



{Couplet 1}
La journée va commencée
Je sais qu'on va se retrouver
Mais on fera comme-ci de rien était
Bien plus facile de s'éviter
se comprend sans se parler
On se frôle sans se toucher O n Malgré tant de complicité Qui cédera le premier ?
omme ça
On pourrait s'avouer l
Et on se défie sans le montrer Chez nous on fait ça ca vérité Mais nous on fait ça comme ça {Refrain}
différent,
A quoi ça sert de jouer
On passe le temps à faire semblant, De rester si i nles grands, Si petit devant nos sentiments On passe le temps à faire semblant,
t nos jeux d'enfants
Moi et m
-
De rester si fort mais pourtant, A quoi ça sert de jouer les grands, Si on évita ioi et moi - Entre toi et moi qui cédera - Moi et moi et moi - Entre toi et moi qui cédera - Moi et moi et moi -
ad Boy casquette ba
Entre toi et moi .. {Couplet 2} On se cherche sans se trouver, Le jeu du test doit s'arrêter, Sous tes airs de Bissée Aurais-tu quelques chose à cacher ? Le mystère a trop duré, Il est temps de nous décider, Doit-on risquer de tout perdre,
t ça comme ça
Refr
{
De tout abandonner ? Et on se défie sans le montrer Chez nous on fait ça comme ça On pourrait s'avouer la vérité Mais nous on fa iain} On passe le temps à faire semblant, De rester si indifférent, A quoi ça sert de jouer les grands, Si petit devant nos sentiments
s
Moi et moi et moi -
-Entre toi
On passe le temps à faire semblant, De rester si fort mais pourtant, A quoi ça sert de jouer les grands, Si on évitait nos jeux d'enfan tet moi qui cédera - Moi et moi et moi - Entre toi et moi qui cédera - Moi et moi et moi - Entre toi et moi .. {Couplet 3} Et on se sourit tu viens vers moi,
ifférent,
A quoi ça sert de j
Chez nous on fait ça comme ça La partie se finit dans tes bras Et c'est beaucoup mieux comme ça {Refrain} On passe le temps à faire semblant, De rester si in douer les grands, Si petit devant nos sentiments On passe le temps à faire semblant, De rester si fort mais pourtant, A quoi ça sert de jouer les grands, Si on évitait nos jeux d'enfants
Si on évitait nos jeux d'enfants (TER)
- Moi et moi et moi - (TER)


                                   --------------------------------------------------------------------------


Stacey Kent - Les eaux de Mars






Lyrics to Les Eaux De Mars :

Un pas, une pierre, un chemin qui chemine
Un reste de racine, c'est un peu solitaire
C'est un éclat de verre, c'est la vie, le soleil
C'est la mort, le sommeil, c'est un piège entrouvert

Un arbre millénaire, un nœud dans le bois
C'est un chien qui aboie, c'est un oiseau dans l'air
C'est un tronc qui pourrit, c'est la neige qui fond
Le mystère profond, la promesse de vie

C'est le souffle du vent au sommet des collines
C'est une vieille ruine, le vide, le néant
C'est la pie qui jacasse, c'est l'averse qui verse
Des torrents d'allégresse, ce sont les eaux de Mars

C'est le pied qui avance à pas sûr, à pas lent
C'est la main qui se tend, c'est la pierre qu'on lance
C'est un trou dans la terre, un chemin qui chemine
Un reste de racine, c'est un peu solitaire

C'est un oiseau dans l'air, un oiseau qui se pose
Le jardin qu'on arrose, une source d'eau claire
Une écharde, un clou, c'est la fièvre qui monte
C'est un compte à bon compte, c'est un peu rien du tout

Un poisson, un geste, c'est comme du vif argent
C'est tout ce qu'on attend, c'est tout ce qui nous reste
C'est du bois, c'est un jour le bout du quai
Un alcool trafiqué, le chemin le plus court

C'est le cri d'un hibou, un corps ensommeillé
La voiture rouillée, c'est la boue, c'est la boue
Un pas, un pont, un crapaud qui croasse
C'est un chaland qui passe, c'est un bel horizon
C'est la saison des pluies, c'est la fonte des glaces
Ce sont les eaux de Mars, la promesse de vie

Une pierre, un bâton, c'est Joseph et c'est Jacques
Un serpent qui attaque, une entaille au talon
Un pas, une pierre, un chemin qui chemine
Un reste de racine, c'est un peu solitaire

C'est l'hiver qui s'efface, la fin d'une saison
C'est la neige qui fond, ce sont les eaux de Mars
La promesse de vie, le mystère profond
Ce sont les eaux de Mars dans ton cœur tout au fond

Un pas, une " ... pedra é o fim do caminho
E um resto de toco, é um pouco sozinho ... "
Un pas, une pierre, un chemin qui chemine
Un reste de racine, c'est un peu solitaire...


                              ---------------------------------------------------------------------


ผมไม่ได้เป็นเงาสะท้อนของชายใด ไม่ใช่ผู้กล้าในเทพนิยาย ไม่ได้งดงามเหมือนดั่งอัศวินที่เธอเคยฝันถึง 
ผมเป็นเพียงตัวผมเองอย่างที่เธอเห็น...



Je ne serais jamais - Patrick Fiori 


Je ne serai jamais ni l'ombre d'un homme

Ni le pâle reflet d'un autre que moi

Je suis toutes mes failles mes blessures et mes fautes

Je suis ce que tu vois

Je ne serai jamais le héros de tes fables

Ni ce beau chevalier dont tu rêves parfois

Si je dresse mes bras en murs infranchissables

Tu vois je ne suis, je ne suis que moi

Je ne serai jamais ni prince d'illusion

Ni de ces beaux marquis si brillants et narquois

Je suis de mon histoire de mes passés, de mes passions

Je suis ce que je crois


Je ne serai jamais un regret pour mes pères

Un de ces baladins à la solde d'un roi

Et je veux des enfants toujours fiers d'être fier

Je suis ce que je dois

Mais je pourrais ma belle si tu le demandais

Décrocher les étoiles te couvrir de soie

Faire enfin de mes bras le plus beau des palais

Mais je ne serai jamais, jamais que moi

Je ne serai jamais, jamais que moi.


                                  -------------------------------------------------------------------

Parler a mon pere - Celine Dion 


Je voudrais oublier le temps

Pour un soupir pour un instant

Une parenthèse après la course

Et partir où mon cœur me pouce

Je voudrais retrouver mes traces

Où est ma vie ou est ma place

Et garder l'or de mon passé

Au chaud dans mon jardin secret

Je voudrais passer l'océan, croiser le vol d'un goéland

Penser à tout ce que j'ai vu ou bien aller vers l'inconnu

Je voudrais décrocher la lune, je voudrai même sauver la terre

Mais avant tout je voudrais parler à mon père

Parler à mon père...

Je voudrais choisir un bateau

Pas le plus grand ni le plus beau

Je le remplirais des images

Et des parfums de mes voyages

Je voudrais freiner pour m'assoir

Trouver au creux de ma mémoire

Des voix de ceux qui m'ont appris

Qu’il n'y a pas de rêve interdit


Je voudrais trouver les couleurs, des tableaux que j'ai dans le cœur

De ce décor aux lignes pures, où je vous voie et me rassure,

Je voudrais décrocher la lune, je voudrais même sauver la terre,

Mais avant tout, 

Je voudrais parler à mon père..

Je voudrais parler à mon père..

Je voudrais oublier le temps

Pour un soupir pour un instant

Une parenthèse après la course

Et partir où mon cœur me pouce

Je voudrais retrouver mes traces

Où est ma vie, où est ma place

Et garder l'or de mon passé

Au chaud dans mon jardin secret

Je voudrais partir avec toi

Je voudrais rêver avec toi

Toujours chercher l'inaccessible

Toujours espérer l'impossible

Je voudrais décrocher la lune,

Et pourquoi pas sauver la terre,

Mais avant tout, je voudrais parler à mon père

Parler à mon père..

Je voudrais parler à mon père

Parler à mon père..
Merci à Aurélia R. pour cettes paroles



                                      ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥






















Food of France



Food of France


ครัวซอง ( croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)

การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้




เมดิเตอเรเนียนคีช คีช ( quiche) เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา






ขนมปังฝรั่งเศส  บาเกต ( baguette) หรือ ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช





ฟัวกรา เป็น อาหารประจำชาติของประเทศฝรั่งเศส 
ฟัวกรา(ฝรั่งเศส: foie grasเสียงอ่านภาษาฝรั่งเศส: [fwɑ gʁɑ] แปลว่า "ตับที่มีไขมันสูง") คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา    

ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน
ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส


                              ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥

ท่องเที่ยงกรุงปารีส

ปารีสและอิลเดอฟรองซ์

>>> กรุงปารีสถือว่าเป็นนครแห่งแสงสี ศูนย์กลางการออกแบบและแฟชั่นของโลก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกระจกสะท้อนความเป็นฝรั่งเศสเพียงส่วนเดียวของปารีสซึ่งยังมีคำจำกัดความต่าง ๆ อีกมากมาย สถานที่สำคัญต่างๆ ที่โดดเด่นและเป็นหนึ่งเดียวในโลกสามารถพบได้ที่นี่ อาทิเช่น หอไอเฟล ประตูชัย อนุสรณ์สถาน Panthèon หรือจะเป็นย่านชุมชนที่มีเสน่ห์อย่างม็งต์มาร์ต เลอ มาเร่ส์หรือแซ็งต์ แฌร์แมง เดส์ เปรส์ นอกจากนี้ยังมีผับสไตล์ฝรั่งเศสหรือร้านอาหารนานาชาติจากทั่วทุกมุมโลกหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น ลูฟร์ ออร์เซ่ย์ ศูนย์ศิลปะฌอร์ช ปอมปิดู สถาบันอาหรับศึกษา อีกทั้งพิพิธภัณฑ์ “เฉพาะกิจ” ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งเช่น พิพิธภัณฑ์การโฆษณา พิพิธภัณฑ์แฟชั่น พิพิธภัณฑ์ ศิลปะชาวบ้าน ฯลฯ 


1. พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles)  เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย


2. พิพิธภัณฑ์ลูฟร์  มีชื่อทางการว่า The Grand Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสถานที่แห่งนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่าระดับโลกเป็นจำนวนมาก เช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ซึ่งเป็นผลงานของลิโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch เป็นต้น




4. แอวะนู เดส์ ชองป์ส เอลิเซ่ส์ (Avenue des Champs-Élysées) เป็นถนนในเขตที่ 8 ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยโรงละคร คาเฟ่ และร้านค้าหรูหรา ซึ่งถือว่าเป็นย่านช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในปารีส สองข้างทางมีต้นเชสต์นัตที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม
อิล-เดอ-ฟรองซ์เป็นชื่อแคว้นที่ตั้งของนครปารีส เป็นสถานที่น่าอยู่อาศัย รายรอบด้วยธรรมชาติอันสวยงาม บ้านเมืองที่อยู่โดยรอบยังมีเสน่ห์น่าหลงใหลในหลายแง่มุม ทั้งเนินเขาเขียวขจีและหมู่บ้านที่สวยงามของ Vallées de Chevreuse หรือจะเป็นป่าไม้ร่มครึ้มที่ ร็องบุยเย่ต์ (Rambouillet) ซึ่งน่าเข้าไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ ความงามของแคว้นนี้ยังเป็นที่ดึงดูดศิลปินเอกหลายท่านให้หลงใหลในสีสันและบรรยากาศจนสรรค์สร้างผลงานศิลปะชิ้นเอกฝากไว้ให้ชมอาทิเช่น ภาพวาดภูมิประเทศของเมืองบาร์บิซง โนฌอง-ซูร์-มาร์น หรือโอแวร์-ซูร์-อัวซ์ แคว้นนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมหลายแห่งดังเช่น พระราชวังแวร์ซายส์ ปราสาทโวซ์-เลอ-วิก็งต์ โบสถ์แซ็งต์-เดอนีส์ และที่สำคัญที่นี่คือศูนย์รวมของวิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสโดยแท้

                         ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥







ธงชาติฝรั่งเศส



ธงชาติฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: le tricolore หรือ le drapeau bleu-blanc-rougeเลอ ตรีกอลอร์ - แปลว่า ธงไตรรงค์ หรือ ธงสามสี ส่วน เลอ ดราโป เบลอ บลองก์ รูฌ - แปลว่า ธงน้ำเงิน-ขาว-แดง) ธงนี้เป็นธงต้นแบบที่หลายๆ ประเทศนำมาดัดแปลงใช้เป็นธงชาติของตนเอง รวมทั้งธงชาติไทยด้วย ลักษณะของธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 2 ส่วน ยาว 3 ส่วน ประกอบด้วยริ้วธง 3 สี คือ สีน้ำเงิน สีขาว และสีแดง เรียงกันตามแนวตั้ง แต่ละริ้วมีความกว้างเท่ากัน สำหรับธงค้าขายและธงรัฐนาวีฝรั่งเศสนั้นคล้ายกับธงชาติ แต่สัดส่วนความกว้างของริ้วธงแต่ละสีจะเป็น 30:33:37
ธงนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติฝรั่งเศส ตามมาตรา 2 แห่งรัฐธรรมนูญสาธารณรัฐฝรั่งเศส พ.ศ. 2501 ส่วนสีธงชาติแบบมาตรฐานนั้น กำหนดขึ้นในสมัยที่นายวาเลรี ยิสการ์ด เดส์แตง เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศส ดังนี้


                                ♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-

ปารีสเมืองหลวงประเทศฝรั่งเศส


Paris



ธงประจำเมือง




ตราประจำเมือง

                   


ปารีส


       ปารีส (ฝรั่งเศสParis /paˈʁi/ ปารี) เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟร็องส์ (Île-de-France หรือ Région parisienne (RP) ) ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้านคน (พ.ศ. 2547 ในขณะที่เขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีประชากรเกือบ 12 ล้านคนและเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป


กำเนิดของชื่อและความหมาย

คำว่า ปารีส ออกเสียง /พาริส/ [ˈparɪs] หรือ /แพริส/ [ˈpæɹɪs] ในภาษาอังกฤษ และ /ปารี/ [paʁi] ในภาษาฝรั่งเศส เป็นคำที่มาจากชื่อเผ่าหนึ่งของชาวโกล เป็นที่รู้จักกันในนาม "ปารีซี" (Parisii) ซึ่งเป็นชาวเมืองที่อาศัยในสมัยก่อนโรมัน โดยที่เมืองมีชื่อเดิมว่า "ลูเทเชีย" (ละติน: Lutetia) (ชื่อเต็ม "Lutetia Parisiorum" แปลว่า ลูเทเชียแห่งปารีซี) ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 6 ในช่วงที่อาณาจักรโรมันยึดครอง แต่ในช่วงการครองราชย์ของจูเลียน ดิ อโพสเทต (พ.ศ. 904 - พ.ศ. 906) ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น "ปารีส"
ปารีสมีชื่อเล่นมากมาย แต่ชื่อที่โด่งดังที่สุดคือ "นครแห่งแสงไฟ" (ฝรั่งเศส: La Ville-lumière) ซึ่งหมายความว่าเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนและความรู้ ทั้งยังหมายความว่าเป็นเมืองที่สว่างไสวเต็มไปด้วยแสงไฟอีกด้วย ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นครปารีสมีชื่อเรียกในภาษาแสลงว่า "ปานาม" (ฝรั่งเศส: Paname [panam]) เช่น ชาวปารีสมักแนะนำตนเองว่า "มัว, เชอซุยเดอปานาม" (ฝรั่งเศส: Moi, je suis de Paname) หรือ "ฉันมาจากปานาม"
พลเมืองชาวปารีสเป็นที่รู้จักกันในนาม "ปารีเซียน" (Parisian) ("พาริเซิน" หรือ "แพริเซิน" [pʰəˈɹɪzɪənz / pʰəˈɹiːʒn̩z]) ในภาษาอังกฤษ หรือ "ปารีเซียง" [paʁizjɛ̃] ในภาษาฝรั่งเศส โดยคำนี้ บางครั้งจะถูกเรียกอย่างดูถูกว่า ปารีโก (Parigots) [paʁigo] โดยประชาชนที่อาศัยนอกแคว้นของปารีส แม้ว่าบางครั้งชาวปารีเซียงจะชอบพอกับคำนี้ก็ตาม

ทิวทัศน์ของเมือง





ลาเดฟ็องส์ ย่านธุรกิจที่สำคัญในกรุงปารีส



ช็องเซลีเซ ถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส




อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในกรุงปารีส โดยข้างหลังเป็นหอไอเฟล ปีพ.ศ. 2483



ภูมิศาสตร์

ปารีสตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน ซึ่งรวมถึงเกาะอีกสองเกาะคือ อีล แซงต์-หลุยส์ (Île Saint-Louis) และ อีล เดอ ลา ซิเต้ (Île de la Cité) ซึ่งเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง ภูมิประเทศของปารีสโดยรวมคือ เป็นที่ราบลุ่ม โดยมีจุดต่ำสุดอยู่ที่ 35 เมตร (114 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล ทั้งยังมีเนินเขาอีกหลายแห่ง เนินเขาที่สูงที่สุดคือ มงต์มาร์ตร์(Montmartre) (130 เมตร (426 ฟุต)) พื้นที่ของปารีส ซึ่งไม่รวมสวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญ (Bois de Boulogne) และบัวส์ เดอ แวงแซนน์ (Bois de Vincennes) คือประมาณ 86.928 ตารางกิโลเมตร (33.56 ตารางไมล์) การแบ่งและรวมเขตครั้งสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดคือในปี พ.ศ. 2403 ซึ่งทำให้มีขนาดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งยังทำให้เกิดเขต (Arrondissement) ที่หมุนรอบๆ ตามเข็มนาฬิกาอีกด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 เป็นต้นมา เมืองปารีสมีขนาด 78 กม.² (30.1 ม.²) และได้ขยายออกไปเป็น 86.9 กม.² (34 ม.²) ในปี พ.ศ. 2463 และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2472 เป็นต้นมา สวนสาธารณะบัวส์ เดอ บูโลญและบัวส์ เดอ แวงแซนน์ได้ผนวกกับตัวเมืองปารีสอย่างเป็นทางการ ทำให้กรุงปารีสมีขนาด 105.397 กม.² (40.69 ม.²) จนถึงปัจจุบัน ขนาดของกรุงปารีสหรือเขตเมืองปารีสนั้นมีการขยายตัวออกไปเกินเขตเมือง ทำให้เกิดรูปร่างเป็นวงรี ขยายตัวไปตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำมาร์น ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง และตามแม่น้ำแซนและแม่น้ำอวส ทางทิศตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือ และถ้าเลยไปยังชนบท ความหนาแน่นของประชากรจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากมีป่าและที่ดินไว้สำหรับการเพาะปลูก อย่างไรก็ตามเขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีเนื้อที่ถึง 14,518 กม² (5,605.5 ไมล์²) ซึ่งใหญ่กว่าเนื้อที่กรุงปารีสถึง 138 เท่า


ภูมิอากศ

ปารีสมีภูมิอากาศแบบมหาสมุทร ซึ่งมีผลมาจากกระแสน้ำแอตแลนติกเหนือ เพราะฉะนั้นอุณหภูมิในเมืองไม่ค่อยมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป อุณหภูมิเฉลี่ยของกรุงปารีสคือ 15 °C (59 °F) และจะอยู่ราว 7 °C (45 °F) สถิติอุณหภูมิสูงที่สุดที่วัดได้คือ 40.4 °C (104.7 °F) ในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2491 และต่ำที่สุดที่เคยวัดได้คือ −23.9 °C (−11.0 °F) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2422 เมืองปารีสได้ประสบกับอุณหภูมิร้อนจัดในปี พ.ศ. 2547 และหนาวจัดในปี พ.ศ. 2549 มาเอง



♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥-♥